ค้นหาบล็อกนี้

วันเสาร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2553

แกะกล่อง John Lennon Signature Boxset

สวัสดีครับวันนี้ผมกลับมาอัพเดท blog เพราะว่ากำลังปลื้มกับ CD Boxset ของศิลปินในดวงใจ "John Lennon Signature Boxset" ที่เพิ่งซื้อมาวันนี้ครับ

Boxset นี้ออกมาเพื่อเฉลิมฉลองในวาระครบรอบวันเกิดปีที่ 70 ของ John Lennon ครับ (ถ้าลุง John ยังอยู่นะครับ เฮ้อ...พูดแล้วเศร้า) แล้วตอนนี้ก็กำลังปลื้มสุดๆกับ boxset นี้ก็เลยเอามาแกะกล่องให้เพื่อนๆดูกันดีกว่าว่าในกล่องสีขาวๆ กล่องเบ้อเริ่มของนี้มีอะไรในกล่องบ้างครับ

*ภาพด้านบนนี้ขอขอบคุณภาพจาก www.johnlennon.com

Boxset กล่องนี้เป็นกล่องจัตุรัสสีขาวสะอาดตา ขนาดใหญ่พอสมควรครับ
ภายนอกด้านนึงจะมีคำว่า LENNON เป็นตัวหนังสือลายท้องฟ้าครับ สวยงามเข้ากันกับกล่องสีขาวอย่างนี้มากๆ

อีกด้านนึงจะเป็นลายปั้มชื่อ John Lennon (แบบตัวเขียน)ครับ

และภายนอกกล่องก็ยังมีแผ่นแนบมาพร้อมกับ boxset นี้เพื่อบอกว่าในกล่องมีอะไรอยู่บ้างครับ

และเมื่อยกกล่องด้านนอกท่ครอบอยู่ออกจะพบกับกล่องด้านในและหนังสือ Booklet ที่หน้าปกพิมพ์ว่า Yes หนังสือนี้จะเป็นเรื่องราวและภาพถ่ายหาดูยากของ John Lennon ครับ

ผมชอบภาพนี้มากเลย John ดูสบายๆและ relax มากๆ

และใน Booklet ยังมีภาพลายเส้นและลายมือของ John ด้วยนะครับ

มาดูที่ด้านข้างของกล่องด้านในกันนิดนึงครับ ด้านข้างกล่องจะเป็นภาพลายเส้นของ John ครับ

เอะแล้วกล่องด้านนี้มีอะไรอยู่

เมื่อดึงออกมาจะพบกับ...

เมื่อเปืดดูจะพบภาพลายเส้นฝีมือของ John Lenonn ใส่ไว้ในแฟ้มภาพอย่างดีเพื่อเป็นที่ระลึกสำหรับ Boxset นี้และเป็นเหมือนของขวัญที่ระลึกถึง John Lennon ครับ

และถ้าหยิบ Booklet Yes ออกจะพบ Card รหัสผ่านสำหรับ exclusive access เข้าเวปไซต์ www.johnlennon.com ครับ และแผ่นพับที่มีข้อความว่า From Yoko Julian Sean

และเมื่อกางออกจะพบข้อความจากบุคคลสำคัญทั้งสามคนของ John ครับคือ Yoko Ono, Julian (ลูกชายคนแรก) และ Sean (ลูกชายคนที่สองของ John กับ Yoko)

และเมื่อหยิบแผ่นพับออกก็จะเจอ CD นอนเรียงกันอยู่อย่างนี้ครับ

หยิบเอา cd ทั้งหมดมาเรียงให้ดูว่ามีอะไรบ้าง

ใน boxset นี้จะมีอัลบั้มตามนี้ครับ
Disc 1: John Lennon/Plastic Ono Band (1970)
Disc 2: Imagine (1971)
Disc 3 & 4: Some Time In New York City (1972)
Disc 5: Mind Games (1973)
Disc 6: Walls and Bridges (1974)
Disc 7: Rock ‘n’ Roll (1975)
Disc 8: Double Fantasy (1980)
Disc 9: Milk and Honey (1984)
และ Bonus CD อีกสองแผ่นคือ
Disc 10: Singles คือเป็น Singles 6 เพลง ที่ไม่ได้อยู่ในอัลบั้มใดๆครับ
และ Disc 11: Home Tapes เป็นรวมเพลง 13 เพลงที่เป็น studio outtakes และ home recording ของ John ครับ

ของแถมสองแผ่นนี่แหล่ะครับน่าสนใจสุดๆ ทำให้ตัดสินใจซื้อได้ไม่ยากเลยครับ

นี่แหล่ะครับทั้งหมดในกล่องของ John Lennon Signature Boxset ครับ ถ้าใครสนใจยังสามารถหาซื้อได้ที่ B2S นะครับ เพราะผมเองก็ซื้อมาจากที่นี่ (เคยไปถามที่ร้านป้าโดเรมีแล้ว แต่ป้าเค้าบอกไม่มีครับ) ราคาที่ B2S จะตกที่ห้าพันกว่าบาทครับคุ้มค่ากว่าการสั่งจากนอกมาเองแน่นอนครับ เพราะผมก็เกือบสั่งจาก Amazon ไปเหมือนกันครับแต่กลัวเรื่องค่าส่งและของหายเลยรอๆดูว่าจะมีร้านไหนเอามาขายแบบไม่โก่งราคาบ้างก็จนมาตัดสินใจซื้อที่ B2S นี่แหล่ะครับ

ขอบคุณสำหรับการแวะเข้ามาเยี่ยมชมนะครับ

ปล. ต้องขออภัยสำหรับภาพที่ไม่ค่อยชัดและ background ที่ไม่สวยนะครับเพราะถ่ายด้วยมือถือในห้องนอนตอนกลางคืนนะครับ

 
Click here to Read more...

วันเสาร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2553

โฆษณาใหม่ๆของ Kindle สำหรับเทศกาลแห่งของขวัญและของฝากครับ

เดือนสุดท้ายของปี 2010 แล้วนะครับ ทาง Amaznon ก็มี โฆษณาตัวใหม่ๆสำหรับในช่วงเทศกาลคริสมาสต์และและเทศกาลปีใหม่นี้ครับ ลองมาดูกันดีกว่าครับ (ใครที่ยังไม่มี Kindle ผมว่าดูเสร็จคงอยากได้ Kindle ขึ้นมาแน่ๆ ^^) และก็อย่าลืมนะครับ ถ้าคุณๆอยู่ในช่วงกำลังเลือกหาของขวัญสักชิ้นสำหรับเทศกาลแห่งความสุขนี้ ลองเอาเจ้า Kindle เข้าไปพิจารณาเป็นหนึ่งในตัวเลือกด้วยซิครับ ผมว่าคงถูกใจผู้รับแน่ๆครับ

ชิ้นที่1


ชิ้นที่2


ชิ้นที่3


ถ้าดูกันครบแล้ว อยากได้ Kindle กันบ้างไหมครับ ^^


Click here to Read more...

วันอังคารที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

เริ่มแล้วครับกับ Black Friday เทศกาลลดราคาประจำปีที่ Amazon

เริ่มแล้ววันนี้นะครับ กับเทศกาลลดกระหน่ำส่งท้ายปีของ Amazon.com กับช่วง Black Friday ครับ ใครเล็ง ใครเก็บเงิน ใครเตรียมตัวไว้แล้ว ก็พุ่งตรงเข้าสู่อเมซอนเลยครับ ลดกระหน่ำเช่นเคยเหมือนทุกๆปีครับ

Black Friday at Amazon

Click here to Read more...

วันอาทิตย์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

รีวิวสั้นๆกับปกหนังของ Kindle จาก Amazon

สวัสดีครับ วันนี้ผมกลับมาเขียนรีวิวต่ออีกชุดนึงครับ เพราะว่าไหนๆก็ได้ถ่ายรูปไว้แล้ว และก็ได้เขียนถึงไปบ้างแล้วในหัวข้อ แกะกล่อง Kindle3 และรีวีว Kindle3 ครับ ซึ่งอุปกรณ์ที่จะมารีวิววันนี้คือ Kindle Leather Cover (Fits 6" Display, Latest Generation Kindle)

ซึ่งผมสั่งซื้อจาก Amazon มาพร้อมกับ Kindle3 ครับ ลองมาดูกันนะครับ

ปกหนังสำหรับ Kindle3 ที่ทาง amazon ทำออกมาขายพร้อมๆกับ Kindle3 มีสองรุ่นครับคือรุ่นธรรมดาที่ผมซืื้อมาอันนี้ กับรุ่นมีไฟอ่านหนังสือในตัวครับ ที่ผมซื้อรุ่นธรรมดาทั้งๆที่อยากได้แบบมีไฟมากๆ ก็แค่มันถูกกว่าครับ ไม่ใช่ถูกกว่าธรรมดาๆ ถูกกว่าเยอะเลยครับ เลยตัดใจซื้อแบบธรรมดาๆนี่แหล่ะ รุ่นมีไฟเอาไว้ใช้ไฟบ้านเอาแล้วกัน ฮ่าๆ

สำหรับปกทั้งสองแบบทาง amazon ทำออกมาถึง 7 สีเลยครับ เลือกซื้อกันได้ตามใจรักกันเลยทีเดียว สำหรับผมผู้ชายสุขุมออกแนวน่ารักเลยเลือกซื้อสีน้ำเงิน Steel Blue ครับ (ถ้าบางภาพสีมันแปลกๆตุ่นๆ ก็เพราะผมใช้มือถือถ่ายนะครับและถ่ายตอนกลางคืนในห้องนอนที่แสงออกสีเเหลืองๆนวลด้วย สีเลยแปลกๆไปหน่อยนะครับ สีแท้ๆน่าจะเหมือนกับรูปแรกในรีวิวนี้นะครับ)




ปกหนังอันนี้ของอเมซอนเป็นหนังแข็งมีลายเล็ก (ส่วนเป็นหนังแท้หรือเปล่าไม่แน่ใจนะครับ) ทำให้จับถนัดมือครับไม่ลื่นหลุดมือง่ายๆ และตัวปกมียางยืดไว้รัดปกไม่ให้อ้าออกครับ และที่ยางยืดก็มีป้ายหนังเป็นโลโก้ Amazon Kindle สวยงามครับ ขนาดของปกอันนี้จะพอดีกับ Kindle3 พอดีครับ


ด้านในของปกทั้งสองด้านเป็นกำมะหยี่นุ่มๆครับ รับรองได้ว่าไม่ทำให้เกิดรอยใดๆกับ Kindle แสนรักแน่ๆครับ และที่พิเศษนิดนึงคือปกหลังจะมีบุผ้านุ่มๆไว้ (จะนุ่มกว่าปกหน้ามากเลยครับ) ทำให้ช่วยปกป้อง kindle ทางด้านหลังเครื่อง ไม่ว่าจะการวางการกดทับได้เป็นอย่างดีครับ

ด้านในปกตรงสันกลางจะเห็นว่ามีขอสำหรับเกี่ยวตัว Kindle เอาไว้นะครับ ซึ่งวิธีใส่ Kindle สามารถทำได้ง่ายๆ ตามนี้ครับ
จากสองภาพด้านบน จะเห็นว่าเราจะเอาขออันล่าง (ที่ลักษณะเอียงๆ) ใส่เข้าไปก่อนโดยเอียงเครื่อง Kindle ในแนวเดียวกันแล้วจึงสอดเข้าไปในเครื่อง Kindle นะครับ ที่ตัวเครื่อง จะมีช่องไว้ให้เสียบแกนเหล็กอันนี้อยู่แล้วครับ แล้วค่อนดันตัวเครื่อง Kindle ตั้งตรงขึ้นครับ

ขั้นที่สองก็คือเราจะเอาขอเกี่ยวตัวบนเกี่ยวตัวเครื่องครับ ดูจากภาพนะครับ
ขอตัวนี้จะมีสปริงอยู่ให้เราเอานิ้วกดขอลงครับ แล้วค่อยเอาตัวเครื่อง Kindle มาเกี่ยวกับขอตัวนี้แล้วปล่อยขอให้กลับที่เดิม

เมื่อเสร็จแล้วตัวเครื่องจะติดพอดีกับทั้งสองขอเกี่ยวครับ


นี่ไงครับ ใส่ปกแล้วสวยงาม ติดได้สนิทกับตัวเครื่องเลยครับ


พอเอาสายยางยืดรัดแล้ว ลองดูมุมด้านบนและด้านล่างดูนะครับ ตัวปกเข้ากันได้กับ Kinlde3 เป๊ะเลย สวยงามจับถนัดมือครับ



และเมื่อวางไว้รวมๆกับหนังสือต่างๆก็ดูเหมือนแค่ diary หรือ planner เล่มนึงเลยนะครับ ดูกลมกลืนไม่โดดเด่น ดูแล้วน่าจะปลอดภัยดีนะครับ ถ้าเราเผลอลืมวางไว้บนโต๊ะคนทั่วๆไปอาจไม่รู้ว่าเป็น Kindle3 ครับ

ก่อนจบรีวิวปกหนังตัวนี้ขอทิ้งท้ายคำเตือนการใช้ปกอันนี้หน่อยนะครับ ผมอ่านเจอมาจากเวปบอร์ดเมืองนอกหลายๆเวปว่าปกตัวนี้อาจทำให้ตัวเครื่อง Kindle3 แตกได้ตรงบริเวณที่เอาขอเกี่ยวทั้งสองจุดครับถ้าคุณพยายามเปิด Kindle จากทางด้านปกหลัง เพราะปกหนังตัวนี้ออกแบบมาให้เปิดออกเฉพาะปกหน้า ตัวเครื่อง kindle จะแนบอยู่กับปกหลังครับ ถ้าคุณพยายามงัดปกหลังจะทำให้เครื่องแตกได้ครับ ดังนั้นระวังนิดนึงนะครับ

ผมว่าคนใช้เองไม่น่าห่วงเพราะเรารู้อยู่แล้วว่าเปิดทางด้านหลังไม่ได้ แต่คนอื่นที่ขอยืมดูหรือหยิบ Kindle เราไปดูนี่แหล่ะครับอันตรายที่สุดเพราะเค้าไม่รู้ว่าด้านไหนด้านหน้า ด้านไหนด้านหลัง และควรเปิดอย่างไร ดังนั้นเจ้าของ kindle ทุกคนที่ใช้ปกตัวนี้พยายามเตือนคนอื่นๆ หรือเพื่อนๆของคุณที่มาขอดูนะครับว่าควรจะเปิดอย่างไรไม่อย่างนั้นอาจมีการเสียน้ำตาหรือเสียเพื่อนได้ครับ ^^

จบแล้วครับขอบคุณนะครับที่มาเยี่ยมชม แล้วอย่าลืมแวะมาบล็อกผมอีกนะครับ



Click here to Read more...

วันศุกร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

เอาการ์ตูนมาอ่านบน Kindle กันดีกว่า

สวัสดีครับ วันนี้ผมกลับมาอัพเดท blog ซะทีด้วยความที่ไม่รู้ว่าจะเอาเรื่องอะไรมาเล่าดี นึกไปนึกมาก็เอาเรื่องที่เคยพูดไว้ตอนรีวิว Kindle3 ดีกว่านั่นก็คือเรื่อง เอาการ์ตูนมาอ่านบน kindle 3 ครับ เพราะนี่เป็นเหตุผลนึงที่ทำให้ผมซื้อ Kindle3 มาใช้ เพราะผมชอบอ่านการ์ตูนครับ และผมเองก็อยากพกการ์ตูนเรื่องโปรดไปกับผมทีละหลายๆเล่มครับ ผมจะได้อ่านเมื่อไรก็ได้ (อย่างตอนนี้ผมมาทำงานที่อินเดีย พกการ์ตูนมาอ่านหกสิบกว่าเล่มครับ ช่วยทำให้หายคิดถึงแฟนคิดถึงบ้านไปได้เยอะเลยครับ)

ส่วนเรื่องที่จะเอาการ์ตูนไปอ่านบน Kindle ทำยังไงเรามาดูกันครับ ตามมาเลยเดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟังครับ


โดยปกติแล้ว kindle สามารถจะแสดงรูปภาพได้อยู่แล้วในรูปแบบ grey scale ดังนั้นก็เป็นเรื่องปกติที่เราจะสามารถไปหาการ์ตูนมาโหลดลง Kindle ครับ โดยเราสามารถทำได้เองตั้งแต่หาไฟล์หนังสือการ์ตูนจากเน็ต (ที่เค้าเรียกกันว่ามังงะ Manga นะครับ ถ้าเป็นหนังการ์ตูนแบบ animation เค้าเรียก อะนิเมะ ​Anime เวลาหาโหลดจะได้เลือกโหลดได้ถูกครับ อย่าเอา anime มาลงใน kindle เชียวนะครับ ^^) แล้วก็ทำการจัดการรูปภาพของเล่มการ์ตูน สร้าง folder บน kindle แล้วก็ copy ไฟล์รูปภาพการ์ตูนลง kindle แค่นี้เองไม่ยากใช่ไหมครับ แต่ผว่ามันยังยากไปเพราะการจัดการกับรูปภาพการ์ตูนเยอะๆนี่มันวุ่นวายครับ บางทีคุณโหลดมาการ์ตูน 1 เล่มมีเป็นร้อยหน้า แล้วหลายๆเล่มยิ่งยุ่งวุ่นวายไปใหญ่ ดังนั้นเรามาหาเครื่องมือที่จะมาช่วยเราดีกว่า

ก่อนอื่นต้องไป download software ที่ชื่อว่า Mangle ซึ่งเป็น freeware มาก่อนครับจาก link นี้ครับ http://foosoft.net/mangle/

เมื่อ download เสร็จก็ติดตั้งโปรแกรมให้เรียบร้อยนะครับ คราวนี้ก็เตรียมไฟล์การ์ตูนที่จะเอาไปอ่านบน kindle ให้พร้อมครับ (เรื่องไฟล์การ์ตูนขอแนะนำให้ใช้ google หรือเครื่องมือต่างๆที่คุณคุ้นเคยช่วยหานะครับ)

เปิดโปรแกรม Mangle ขึ้นมาครับ (ผมใช้ Mac นะครับถ้าเป็น windows ก็จะแตกต่างกว่านี้เล็กน้อยครับ)

แล้วก็เลือกเมนู Book (หรือกดขวาบนหน้าต่าง Mangle) แล้วเลือกคำสั่ง Add แล้วก็เลือกว่าจะ Add ทีละไฟล์รูปภาพการ์ตูน หรือทั้ง directory (folder) ในกรณีนี้ก็เลือกเป็น directory ครับเพราะว่าหนังสือการ์ตูนทั้งเล่มที่ download มาจะมีไฟล์รูปภาพเยอะเลยครับ เมื่อเลือกเสร็จก็จะเห็นไฟล์รูปภาพแสดงขึ้นมาในหน้าต่าง Mangle นะครับ

คราวนี้เป็นหน้าที่ของคุณละที่จะต้องรีวิวรายการรูปภาพว่ามันเรียงลำดับเรียบร้อยถูกต้องหรือยัง ถ้ายังก็ใช้ tool ที่เป็นรูปลูกศรขึ้นและลงย้ายหน้าให้ถูกต้องนะครับ

และเมื่อพร้อมแล้วก็กดที่เครื่องมือที่เป็นรูปเฟืองนะครับเพื่อทำการ export การ์ตูนของเราไปเป็น format ที่เหมาะสมกับ Kindle ครับ

ในหน้าต่าง popup ที่ขึ้นมาก็ให้เราตั้งชื่อหนังสือ แล้วก็เลือกรุ่น Kindle ที่ต้องการ export ให้ถูกต้องครับ สำหรับ Mangle for Mac OS ตอนนี้ยังไม่สามารถ Export เป็น Kindle3 นะครับ (ยังไม่ support คงต้องรอเจ้าของ software Mangle ปรับปรุง version for Mac ก่อนครับ) แต่สามารถเลือกเป็น Kindle2 ได้ครับเพราะจอขนาดเดียวกันคือ 6" ครับ

และเมื่อกด OK ก็เลือก Save เก็บไว้ในเครื่องเราตามต้องการเลยครับ แล้วเราก็จะได้ Directory (Folder) ของการ์ตูนที่ convert และจัดหน้าให้เหมาะสมกับ Kindle แล้วครับ

คราวนี้ก็ ต่อ Kindle ของเรากับเครื่องคอมด้วยสาย USB ที่มากับเครื่อง Kindle เลยครับ เครื่องคอมเราก็จะเห็น Kindle เป็น drive เหมือนพวก thumb drive ทั่วๆไปครับ เราก็เข้าไปใน kindle ของเรา แล้วสร้าง directory (folder) ชื่อว่า pictures ขึ้นมาครับ แล้วก็ copy directory ที่เรา convert มาจาก Mangle ใส่เข้าไปใน directory pictures เลยครับ


แค่นี้เองครับเสร็จแล้วครับ คราวนี้ก็ถอด Kindle จากเครื่องคอมแล้วก็เปิดการ์ตูนอ่านบน Kindle ได้เลยครับ

ลองเปิดดูจาก Kindle กันครับ ว่าเป็นไงบ้าง




อ่านได้ชัดเจนครับ และถ้าต้องการปรับการแสดงผลบน Kindle สามรถทำได้โดยกดปุ่ม Aa ที่ Kindle นะครับ จะมีหน้าต่างขึ้นมาให้เราปรับการแสดงผลได้ครับ
โดยเราสามารถเลือกให้แสดงผลขนาดจริง(Actual Size) หรือ กำหนดการแสดงผลให้พอดีกับหน้าจอในแนวกว้างหรือแนวตั้ง หรือกำหนดให้หมุนหน้าจอครับ

จบแล้วครับ ไม่ยากใช่ไหมครับ แค่นี้เราก็พกหนังสือการ์ตูนโปรดไปกับ Kindle ได้แล้วครับ ^^




Click here to Read more...

วันศุกร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

Review Kindle3 ตอน 2

กลับมาเขียน blog รีวิว kindle 3 กันต่อนะครับ จากตอนที่ 1 จะพูดถึงหน้าตา ส่วนประกอบต่างๆของ kindle 3 ตัวนี้ ตอนนี้ผมจะมาเล่าถึงการอ่านหนังสือ และฟังค์ชั่นบางอย่างของ Kindle 3 ครับ เผื่อว่ามีใครที่กำลังตัดสินใจจะซื้อแล้วผ่านมาเจอ blog นี้จะได้เอาไว้เป็นข้อมูลพิจารณาเพิ่มเติมนะครับ

เรื่องแรกเลยก็คือเรื่องการอ่านหนังสือบน Kindle 3 ครับ

Kindle3 ตัวนี้ support ไฟล์ ebook และไฟล์ text หลายชนิดครับ ทั้ง ไฟล์จาก Microsoft Word (DOC, DOCX), PDF, HTML, TXT, RTF, JPEG, GIF, PNG, BMP, PRC และ MOBI ครับ แต่ตอนนี้ยังไม่ support epub ซึ่งกำลังเป็น format ebook ยอดนิยมครับ (iBook บน iPad ใช้ไฟล์ epub ครับ) แต่ก็ไม่ต้องกังวลครับเพราะมีฟรีซอฟแวร์ดีๆอย่าง Calibre ให้เราสามารถแปลงไฟล์ ebook ต่างๆลง kindle  ได้อย่างง่ายๆครับ (เอาไว้เดี๋ยวมาแนะนำการใช้ Calibre ตอนหลังแล้วกันนะครับ)

เราสามารถเอาหนังสือลง Kindle ได้อย่างง่ายๆได้หลายทางคือ
- ผ่านทางสาย USB แล้ว copy แล้ว copy ใส่เข้าไปใน kindle ตรงๆเลย เมื่อเราเสียบ kindle กับเครื่องคอม เราก็จะเห็น kindle เป็นอีก drive นึง ก็copy ลงไปใน Folder Document ใน kindel ได้เลย
- ผ่านทาง software เช่น Calibre ครับ จะสามารถ sync หรือ convert หรือ  copy ลง kindle ได้เลย
- ผ่าน email ของทาง Amazon คือหลังจากที่เรา register Kindle เราแล้วเราจะได้ email มาหนึ่งอัน (ชื่อคุณ@kindle.com)สำหรับการส่ง ebook หรือ document หรือไฟล์ text ต่างๆของเราเข้า kindle แล้วเราก็โหลดผ่าน wifi หรือ 3G (ถ้าเครื่องเป็นรุ่น 3G) ได้เลยครับ
- ซื้อหนังสือผ่านทาง Kindle store ของ Amazon

หลังจากที่เราโหลดหนังสือเข้าเครื่องเราแล้วเมื่อเราเปิดเครื่องจะเห็นรายการหนังสือของเราใน Kindle ครับ
และถ้าเรากดปุ่ม Select ก็จะเปิดหนังสือเราขึ้นมาครับ และอย่างที่ได้บอกไว้แล้วว่าการแสดงผลหนังสือหรือ ebookต่างๆ สวยงามสมบูรณ์คมชัดมากๆครับ
 และเราสามารถปรับการแสดงผลต่างๆ และขนาดตัวหนังสือได้ด้วย ปรับให้ตัวเล็กตัวใหญ่ได้ตามสายตาและความชอบของเราได้เลย โดยกดที่ปุ่ม Aa ที่อยู่ข้าง space bar
และยังมี pop-up dictionaryให้ด้วยนะครับ เวลาเราอ่านหนังสือก็ใช้ปุ่มทิศทางเลื่อน cursor ไปหน้าศัพท์ที่เราต้องการแปล ก็จะมีคำแปล (แบบอังกฤษ-อังกฤษ) แสดงให้เราครับ ทำให้เราสามารถอ่านหนังสือได้ง่ายขึ้นไม่ต้องละจากหนังสือไปเปิด dictionary ครับ
และยังมีฟังค์ชั่นสุดยอดอีกอย่างนึงด้วย คือการอ่านออกเสียงให้เราฟังครับ (Text-to-Speech) เมื่อเราเลือกฟังค์ชั่นนี้เครื่อง kindle จะอ่านหนังสือให้เราฟังครับ เสียงที่ออกมาชัดเจนและน่าทึ่งมากครับ ฟังได้ชัดเจน แถมยังอ่านเหมือนกับมีฝรั่งมาอ่านให้ฟังข้างๆเลยครับ (มีเสียงให้เลือกสองเสียงคือชายหนุ่มเสียงนุ่มหู หรือหญิงสาวเสียงใสๆครับ)
และฟังค์ชั่นที่สำคัญอีกอย่างที่เป็นตัวตัดสินใจของหลายๆคนคือการอ่าน  PDF ครับ ซึ่งเจ้า kindle 3 นี่สามารถอ่าน pdf ได้เลยครับ แต่จะมีปัญหาบ้างในเลือกของขนาดตัวหนังสือที่ไม่สามารถปรับขนาดได้ (ต้องใช้วิธีซูม ขยายขนาดการแสดงผลช่วย หรือ เปิดหนังสือในแนวนอนแทนครับ)

เอาตัวอย่างมาให้ดูกับ pdf ภาษาไทยครับ พอดีไฟล์นี้คนทำเค้าทำเป็นหน้าหนังสือมี background เลยเหลือขอบซ้ายขวาบนล่างเยอะเลย ผมแค่โหลดใส่เพื่อทดสอบการแสดงผลครับ ถ้าใครจำเป็นต้องใช้ pdf ไฟล์เยอะๆจริงๆ ผมแนะนำซื้อ Kindle DX จอ 9นิ้ว น่าจะเหมาะสมกว่านะครับ

และอีกหนึ่งสุดยอดของ kindle ที่ทำให้ผมตัดสินใจซื้อคือการอ่านการ์ตูนครับ (ผมเป็นพวกชอบอ่านการ์ตูนครับ อ่านตั้งแต่เด็กยันแก่และตั้งใจจะอ่านไปเรื่อยๆครับ) เราสามารถโหลดการ์ตูนที่เป็นไฟล์ jpg  เข้าไปไว้ใน folder picture แล้วเปิดอ่านได้เลยครับ 


 ภาพคมชัด (ขึ้นกับไฟล์ต้นฉบับนะครับ) ตัวหนังสืออ่านได้อย่างชัดเจน ให้ความรู้สึกเหมือนอ่านกร์ตูนเล่มเลยครับ แต่ตัวหนังสืออาจตัวเล็กไปบ้างเพราะจอของ kindle3  แค่หกนิ้วครับ


เอามาให้ดูหลายรูปเลยว่าชัดเจน อ่านได้สบายตา ให้อารมณ์เหมืนอ่านการ์ตูนเล่มเพียงใด ส่วนวิธีเอาการ์ตูนเข้าไปใน kindle  เดี๋ยวผมจะมาเล่าภายหลังนะครับขอติดไว้ก่อน แต่รับรองว่าง่ายมากๆ มี software ช่วยครับ มันจะยากตรงหาการ์ตูนที่ชอบมาลงครับ ฮ่าๆ
ส่วนอีกฟังค์ชั่นหนึ่งของ kindle3 คือการเล่นเน็ตผ่าน browser ที่มีมาให้ครับ เราสามารถเล่นเน็ตผ่าน kindle3 ได้เลยครับ ผ่าน Wifi หรือ 3G (สำหรับรุ่น 3G ของผมแค่ Wifi ครับ) โดยที่ browser ตัวนี้ยังเป็นตัวทดสอบทดลอง Experimental นะครับ แต่ก็เล่นได้ดีเลยครับ และสามารถแสดงภาษาไทยได้สมบูรณ์ดีครับ (แต่คีย์ไทยไม่ได้นะครับ)


เอาหน้าจอ facebook มาโชว์ให้ดูกันนะครับ ตอนนี้จับภาพใหม่ไม่ได้เพราะที่ที่ผมอยู่ตอนนี้ไม่มี Wifi ครับ (ภาพนี้ถ่ายตั้งแต่วันแรกที่ได้เครื่องมาครับ) 
ข้อเสียอย่างนึงของการเล่นเน็ตบน kindle คือการ refresh ที่ช้านิดๆ (เพราะเป็นจอแบบ e-ink) และไม่สะดวกในการใช้ keypad ในการเลื่อนแทนเม้าส์ครับ ก็ประมาณว่าพอใช้แก้ขัดได้ เล่น FB Twitter ได้ครับ ถ้าจะเอามาเล่นเน็ตจริงจังผมว่า iPad หรือพวก tablets อื่นๆเหมาะกว่าครับ
 นี่ก็การแสดงผลหน้า blog ผมครับ

สำหรับรีวิวตอนที่สองนี้คงจะขอจบก่อนนะครับเพราะรู้สึกว่ายาวแล้ว เดี๋ยวคนอ่านจะเบื่อ ^^
แล้วเดี๋ยวผมจะมาเล่าและแนะนำ Calibre ซอฟแวร์คู่ใจคนอ่าน ebook แล้วก็วิธีเอาการ์ตูนไปอ่านบน Kindle ในตอนต่อๆไปนะครับ

ขอบคุณที่แวะมาอ่านนะครับ


Click here to Read more...