Kindle 3 หรือชื่อเรียกอย่างเป็นทางการจาก amazon คือ Kindle Graphite - Latest Generation โดยที่ kindle 3 นี้ทางมีจำหน่าย 2 แบบคือ Kindle 3G + Wifi (189$) และ Kindle Wifi (139$) ซึ่งผมเลือกซื้อรุ่น Kindle Wifi ครับ เพราะราคาถูกกว่า และผมก็คิดว่าคงไม่ได้เอา Kindle ไปเล่นเน็ตหรือซื้อหนังสือทาง Kindle Store นอกบ้านแน่ๆ ไม่คุ้มค่าอย่างแรงสำหรับผม (แม้ว่าจะทราบว่า Kindle 3G เล่นเน็ตได้ฟรีใน 100 ประเทศทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย เพราะทาง Amazon ทำสัญญา Global ไว้กับ AT&T ครับ)
หลังจากที่ผมได้สัมผัสตัวเป็นๆของ Kindle3 บอกได้เลยว่าประทับใจและเหนือความคาดหมายไปพอสมควร จากการที่หาข้อมูลและอ่านรีวิวจากที่ต่างๆ ก็ไม่นึกว่า Kindle3 จะเล็ก บาง และเบาขนาดนี้ วัสดุที่ใช้ทำก็ดูดี เรียบหรู งานประกอบต่างๆเรียบร้อยไร้ตำหนิใดๆครับ เวลาจับถือก็สามารถจับถือได้ถนัดมือครับ
ขนาดตัวเครื่องเมื่อวางเปรียบเทียบกับ iPhone 3Gs ครับ
ด้านหน้าตัวเครื่อง ด้านบนเป็นโลโก้ Amazon Kindle และจอ e-ink ขนาด 6 นิ้วครับ (และสามารถแสดงภาพในรูปแบบ gray scale อย่างภาพปกหนังสือ ได้อย่างสวยงามครับ)
และด้านข้างทั้งสองข้างจะมีปุ่มเลื่อนหน้าหนังสือครับ สามารถใช้ทางซ้ายหรือขวาก็ได้ครับ ขึ้นอยู่กับว่าคุณถือด้วยมือข้างไหนครับ
ด้านล่างเป็น keyboard แบบ QWERTY ครับ แต่ไม่มีปุ่มตัวเลขนะครับ ถ้าจะพิมพ์ตัวเลขหรือสัญลักษณ์ต่างๆต้องเลือกผ่านปุ่ม Sym ครับ และก็มีปุ่มควบคุม 4 ทิศทางและปุ่ม select ครับ
เมื่อเห็น keyboard หลายคนก็สงสัยว่าเจ้า kindle มี keyboard ไว้ทำไม เครื่องอ่านหนังสือ ebook แล้วเราต้องพิมพ์อะไรด้วยหรือ ก็บอกได้ว่า เราสามารถใช้ได้ในหลายกรณีเช่น เราสามารถทำโน๊ตลงในหน้าหนังสือขณะที่เรากำลังอ่านอยู่ได้ครับ (เหมือนหนังสือจริงๆเลย) หรือ เราสามารถค้นหาข้อความจากหนังสือต่างๆในเครื่องได้ครับ และอีกอย่างก็คือเอาไว้เล่นเน็ต เล่น facebook ได้ครับ
มาดูด้านหลังเครื่องกันครับ ด้านบนเป็นลำโพงครับ พร้อมโลโก้ครับ
ลำโพงของ Kindle เอาไว้สำหรับฟังชั่นสุดเจ๋ง Text to Speech ครับ ฟังชั่นนี้ก็คือให้เครื่อง kindle อ่านหนังสือให้ฟังครับ (สำหรับหนังสือภาษาอังกฤษเท่านั้นนะครับ) โดยที่มีเสียงอ่านให้เลือกใช้ทั้งเสียงผู้หญิง และเสียงผู้ชายครับ และสามารถปรับความเร็วของเสียงอ่านได้ด้วยครับ และยังสามารถฟังเพลง mp3ได้ด้วยครับ เอาไว้เปิดเพลงคลอไปกับการอ่านหนังสือ หรือจะเอาไว้ใช้แทน mp3 player อื่นๆก็ได้ครับ
มาดูด้านล่างของเครื่องกันครับ
ไล่จากซ้ายมาขวานะครับ อันแรกปุ่มเพิ่ม-ลดเสียงครับ ต่อมาก็ช่องเสียบหูฟังขนาดมาตราฐานครับ 3.5mm ครับ ต่อมาเป็น microphone ครับ ต่อมาก็ช่อง micro USB สำหรับชาร์จไฟและต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์ครับ ต่อมาก็ปุ่มslideเพื่อเปิด-ปิดเครื่อง และไฟแสดงสถานะการชาร์จครับ
หน้าจอแสดงผลเวลาอ่านหนังสือ จะแสดงผลอย่างนี้ครับ (ภาพอาจจะเบลอหน่อยนะครับเพราะถ่ายด้วยกล้องมือถือ แต่ของจริงคมชัดมากๆครับ)
และเราสามารปรับขนาดตัวหนังสือได้ครับ เพื่อให้เหมาะกับสายตาของแต่ละคนครับ ซึ่งขนาดตัวอักษรที่มีมาให้ก็ตั้งแต่เล็กจิ๋วจนถึงตัวเบ้อเริ่มครับ
สำหรับวันนี้คงขอจบตอนแรกก่อนนะครับ เพราะรู้สึกว่ามันยาวมากแล้ว แล้วอ่านกันต่อที่ตอนที่ 2 นะครับ
ดังนั้นตอนนี้ขอปิดเครื่อง Kindle ก่อนนะครับ
เวลาที่เราปิดเครื่อง kindle จะสุ่มภาพมาแสดงผล เป็น screen saver ค้างไว้ที่หน้าจอครับ โดยที่ภาพส่วนใหญ่เป็นภาพของนักเขียนดังๆในอดีตครับ อย่างภาพตัวอย่างด้านบนนะครับ สำหรับวันนี้ขอจบตอนแรกก่อนนะครับ
ขอบคุณครับ
หลังจากที่ผมได้สัมผัสตัวเป็นๆของ Kindle3 บอกได้เลยว่าประทับใจและเหนือความคาดหมายไปพอสมควร จากการที่หาข้อมูลและอ่านรีวิวจากที่ต่างๆ ก็ไม่นึกว่า Kindle3 จะเล็ก บาง และเบาขนาดนี้ วัสดุที่ใช้ทำก็ดูดี เรียบหรู งานประกอบต่างๆเรียบร้อยไร้ตำหนิใดๆครับ เวลาจับถือก็สามารถจับถือได้ถนัดมือครับ
ขนาดตัวเครื่องเมื่อวางเปรียบเทียบกับ iPhone 3Gs ครับ
ด้านหน้าตัวเครื่อง ด้านบนเป็นโลโก้ Amazon Kindle และจอ e-ink ขนาด 6 นิ้วครับ (และสามารถแสดงภาพในรูปแบบ gray scale อย่างภาพปกหนังสือ ได้อย่างสวยงามครับ)
และด้านข้างทั้งสองข้างจะมีปุ่มเลื่อนหน้าหนังสือครับ สามารถใช้ทางซ้ายหรือขวาก็ได้ครับ ขึ้นอยู่กับว่าคุณถือด้วยมือข้างไหนครับ
ด้านล่างเป็น keyboard แบบ QWERTY ครับ แต่ไม่มีปุ่มตัวเลขนะครับ ถ้าจะพิมพ์ตัวเลขหรือสัญลักษณ์ต่างๆต้องเลือกผ่านปุ่ม Sym ครับ และก็มีปุ่มควบคุม 4 ทิศทางและปุ่ม select ครับ
เมื่อเห็น keyboard หลายคนก็สงสัยว่าเจ้า kindle มี keyboard ไว้ทำไม เครื่องอ่านหนังสือ ebook แล้วเราต้องพิมพ์อะไรด้วยหรือ ก็บอกได้ว่า เราสามารถใช้ได้ในหลายกรณีเช่น เราสามารถทำโน๊ตลงในหน้าหนังสือขณะที่เรากำลังอ่านอยู่ได้ครับ (เหมือนหนังสือจริงๆเลย) หรือ เราสามารถค้นหาข้อความจากหนังสือต่างๆในเครื่องได้ครับ และอีกอย่างก็คือเอาไว้เล่นเน็ต เล่น facebook ได้ครับ
มาดูด้านหลังเครื่องกันครับ ด้านบนเป็นลำโพงครับ พร้อมโลโก้ครับ
ลำโพงของ Kindle เอาไว้สำหรับฟังชั่นสุดเจ๋ง Text to Speech ครับ ฟังชั่นนี้ก็คือให้เครื่อง kindle อ่านหนังสือให้ฟังครับ (สำหรับหนังสือภาษาอังกฤษเท่านั้นนะครับ) โดยที่มีเสียงอ่านให้เลือกใช้ทั้งเสียงผู้หญิง และเสียงผู้ชายครับ และสามารถปรับความเร็วของเสียงอ่านได้ด้วยครับ และยังสามารถฟังเพลง mp3ได้ด้วยครับ เอาไว้เปิดเพลงคลอไปกับการอ่านหนังสือ หรือจะเอาไว้ใช้แทน mp3 player อื่นๆก็ได้ครับ
มาดูด้านล่างของเครื่องกันครับ
ไล่จากซ้ายมาขวานะครับ อันแรกปุ่มเพิ่ม-ลดเสียงครับ ต่อมาก็ช่องเสียบหูฟังขนาดมาตราฐานครับ 3.5mm ครับ ต่อมาเป็น microphone ครับ ต่อมาก็ช่อง micro USB สำหรับชาร์จไฟและต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์ครับ ต่อมาก็ปุ่มslideเพื่อเปิด-ปิดเครื่อง และไฟแสดงสถานะการชาร์จครับ
หน้าจอแสดงผลเวลาอ่านหนังสือ จะแสดงผลอย่างนี้ครับ (ภาพอาจจะเบลอหน่อยนะครับเพราะถ่ายด้วยกล้องมือถือ แต่ของจริงคมชัดมากๆครับ)
และเราสามารปรับขนาดตัวหนังสือได้ครับ เพื่อให้เหมาะกับสายตาของแต่ละคนครับ ซึ่งขนาดตัวอักษรที่มีมาให้ก็ตั้งแต่เล็กจิ๋วจนถึงตัวเบ้อเริ่มครับ
สำหรับวันนี้คงขอจบตอนแรกก่อนนะครับ เพราะรู้สึกว่ามันยาวมากแล้ว แล้วอ่านกันต่อที่ตอนที่ 2 นะครับ
ดังนั้นตอนนี้ขอปิดเครื่อง Kindle ก่อนนะครับ
เวลาที่เราปิดเครื่อง kindle จะสุ่มภาพมาแสดงผล เป็น screen saver ค้างไว้ที่หน้าจอครับ โดยที่ภาพส่วนใหญ่เป็นภาพของนักเขียนดังๆในอดีตครับ อย่างภาพตัวอย่างด้านบนนะครับ สำหรับวันนี้ขอจบตอนแรกก่อนนะครับ
ขอบคุณครับ
อยากรู้เรื่องการเล่นเว็บในไทย เช่น pantip รบกวนรีวิวเรื่องนี้ด้วยนะครับ
ตอบลบ@auch ลองอ่านตอนสองดูนะครับ ผมรีวิวไว้เล็กน้อยแต่ไม่ใช่ pantip นะครับ
ตอบลบ